3.1 สภาพดินโดยทั่วไป
สภาพดินโดยทั่วไปของจังหวัดมหาสารคามพบว่า มีดินอยู่ 20 กลุ่มชุดดิน (ตารางที่ 1) มีเนื้อที่ประมาณ 3,667,846 ไร่หรือ 99.36 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด และเป็นพื้นที่เบ็ดเตล็ด 4 ประเภท มีเนื้อที่ประมาณ 251,724 ไร่หรือ 0.64 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด
แผนที่กลุ่มชุดดินที่พบได้ในจังหวัดมหาสารคามซึ่งมีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน กลุ่มชุดดินที่พบในพื้นที่แบ่งเป็น 20 กลุ่มชุดดิน และพื้นที่อื่นๆ ดังภาพที่ 6 กลุ่มชุดดินที่พบมากที่สุดในจังหวัดมหาสารคาม คือ กลุ่มชุดดินที่ 24 มีเนื้อที่ประมาณ 991,921 ไร่ หรือ 25.30 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่จังหวัด กลุ่มชุดดินที่ 24 ค่อนข้างไมเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในการปลูกพืชทั้งพืชไร่ไมผล และพืชผัก เนื่องจากเนื้อดินเป็นทรายจัดและความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติต่ำ แต่มีศักยภาพเหมาะที่จะใช้ในการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตวหรือพัฒนาเป็นทุ่งหญ้า อย่างไรก็ตามในสภาพปจจุบันได้มีการใช้ประโยชนในการทํานา ปลูกพืชไร และไม้ผลบางชนิดแต่ให้ผลผลิตต่ำหรือค่อนขางต่ำ โดยเฉพาะใชทํานามักไดรับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ เนื่องจากดินเก็บกักน้ำไม่ค่อยอยู กลุ่มชุดดินที่พบรองลงมาคือ กลุ่มชุดดินที่ 22 มีเนื้อที่ประมาณ 794,514 ไร่ หรือ 20.27 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่จังหวัด กลุ่มชุดดินที่ 22 เหมาะที่จะใช้ในการทำนาเนื่องจากสภาพพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบมีน้ำขังแช่ในช่วงฤดูฝน แต่สามารถปลูกพืชไร่หรือพืชผักเช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพด ยาสูบ กระเทียม มะเขือเทศ ฯลฯ ก่อนและหลังการปลูกข้าวถ้ามีน้ำชลประทานหรือมีแหล่งน้ำธรรมชาติ ในเขตฝนตกชุก เช่น ภาคใต้ และภาคตะวันออก ใช้ปลูกยางพาราและไม้ผล
3.3 ลักษณะและสมบัติของดินที่สำคัญต่อการเกษตร
รายละเอียด ลักษณะและสมบัติของดินแต่ละหน่วยแผนที่ของกลุ่มชุดดินที่พบในพื้นที่ ได้แสดงไว้ในตารางที่ 2 และตารางที่ 3
3.4 การจำแนกความเหมาะสมและข้อจำกัดของดินสำหรับการปลูกพืช
ความเหมาะสมและข้อจำกัดของดินสำหรับการปลูกพืชสรุปได้ดังนี้ (ตารางที่ 4 และ ตารางที่ 5)
1. ความเหมาะสมของดินสำหรับปลูกข้าว
1.1. พื้นที่ลุ่ม ที่มีความลาดชัน 0-2 เปอร์เซ็นต์ มีเนื้อที่รวมประมาณ 169,912 ไร่ หรือ 4.335 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด ไม่มีปัญหาข้อจำกัดในการปลูกข้าว
1. 2 พื้นที่ค่อนข้างดอนหรือเป็นนาดอน ที่มีความลาดชันตั้งแต่ค่อนข้างราบเรียบ ถึงลูกคลื่นลอนลาด ( 0-5 เปอร์เซ็นต์ ) มีเนื้อที่รวมประมาณ 1,599,292 ไร่ หรือ 40.803 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด ดินที่ปลูกข้าวได้ดี แต่อาจมีข้อจำกัดเล็กน้อย เช่น อาจมีการขาดน้ำในหน้าแล้ง เนื้อดินเป็นทราย เป็นดินเกลือ
1. 3 ดินที่ไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับปลูกข้าว พื้นที่ค่อนข้างดอนหรือเป็นนาดอน ที่มีความลาดชัน ค่อนข้างราบเรียบ ( 1-2 เปอร์เซ็นต์ ) มีเนื้อที่รวมประมาณ 18,968 ไร่ หรือ 0.484 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด ดินปลูกข้าวได้ แต่มีปัญหาที่ดินเป็นดินลูกรัง
2. ความเหมาะสมของดินสำหรับปลูก พืชไร่ พืชผัก ไม้ผล และไม้ยืนต้น
2.1 ดินที่มีความเหมาะสมสำหรับปลูก พืชไร่ พืชผัก ไม้ผล และไม้ยืนต้น พื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ ถึงลูกคลื่นลอนลาด(0-5 เปอร์เซ็นต์) มีเนื้อที่รวมประมาณ 1,317,735 ไร่ หรือ 34.619 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด บางกลุ่มชุดดินอาจมีปัญหาข้อจำกัดบ้างในการปลูกพืช
2.2 ดินที่มีความเหมาะสมสำหรับปลูก มะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว ไม้ใช้สอยโตเร็ว ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ พืชไร่ พืชผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ แต่ไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับปลูก ไม้ผล ไม้ยืนต้น พื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ ถึงลูกคลื่นลอนลาด ( 0-5 เปอร์เซ็นต์ ) มีเนื้อที่รวมประมาณ 561,938 ไร่ หรือ 14.337 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด มีข้อจำกัดเล็กน้อยกับพืชบางชนิด เช่น มีเนื้อดินเป็นทราย ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
3. หน่วยแผนที่ดินเบ็ดเตล็ด เป็นหน่วยของแผนที่ที่ได้แยกออกจากพื้นที่ดินที่มีศักยภาพในการใช้ประโยชน์ หรือบริเวณที่ไม่เป็นดินตามธรรมชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 251,725 ไร่ หรือ 6.422 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด
3.5 ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินและแนวทางการแก้ไข
1. ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ
ทรัพยากรดินโดยทั่วไปของจังหวัดมหาสารคาม เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นดินทรายหรือตะกอนเนื้อหยาบ วัตถุต้นกำเนิดดินเหล่านี้มีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชต่ำ เนื้อดินเป็นดินปนทรายหรือดินทราย มีความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารต่ำและถูกชะพาลงไปในดินชั้นล่างหรือออกไปจากพื้นที่ได้ง่าย ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
แนวทางแก้ไข การใช้ประโยชน์พื้นที่ดินบริเวณนี้ ควรมีการปรับปรุงบำรุงดินอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก อัตรา 1-4 ตันต่อไร่ ปุ๋ยคอก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ หรือปุ๋ยพืชสด อัตราเมล็ดพันธ์ 5-10 กก.ต่อไร่ร่วมกับปุ๋ยเคมีตามชนิดพืชปลูก เพื่อช่วยปรับปรุงบำรุงดิน เพิ่มผลผลิต และรักษาความสามารถในการผลิตของดินไม่ให้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างยั่งยืน
กลุ่มชุดดินที่พบ 6, 16hi, 17, 17hi, 17hiB, 18, 18hi, 18hiB,19, 19B, 20, 20x , 22, 22hi,22hiB,24, 24B, 25, 35B, 40, 40B, 56B,41B,44B มีเนื้อที่ประมาณ 3,322.364 ไร่ หรือ 84.763 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด
2. ดินทรายจัด
ดินทรายจัดจะมีความสามารถในอุ้มน้ำและดูดซับธาตุอาหารของดินต่ำถึงต่ำมาก ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชสูญเสียไปในดินชั้นล่างหรือออกไปนอกพื้นที่ได้ง่าย เมื่อมีการให้น้ำหรือมีฝนตก ดินง่ายต่อการกร่อน ทำให้เกิดเป็นร่องลึกและกว้าง ขาดแคลนน้ำ
แนวทางแก้ไข การใช้ประโยชน์ของพื้นที่บริเวณนี้ ควรเลือกชนิดพืชที่ศักยภาพเหมาะสมมาใช้ปลูก เพื่อลดต้นทุนในการผลิต มีการปรับปรุงบำรุงดินร่วมกับมีระบบการอนุรักษ์ดินและน้ำ เช่น ปุ๋ยหมัก อัตรา 1-4 ตันต่อไร่ ปุ๋ยคอก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ หรือปุ๋ยพืชสด อัตราเมล็ดพันธ์ 5-10 กก.ต่อไร่ร่วมกับปุ๋ยเคมี และใช้วัสดุคลุมดิน ทำคันดิน ปลูกหญ้าแฝกหรือปลูกพืชเป็นแถบสลับ พัฒนาแหล่งน้ำไว้ใช้ในช่วงที่พืชขาดแคลนน้ำ การใช้ปุ๋ยเคมีควรใช้ที่ละน้อยแต่บ่อยครั้ง เพื่อลดการสูญเสียธาตุอาหารลงไปในชั้นดินล่างก่อนที่พืชจะนำไปใช้ได้หรือสูญเสียออกไปจากพื้นที่ เมื่อมีการให้น้ำหรือมีฝนตก
กลุ่มชุดดินที่พบ 24, 24B, 41B, 44B มีเนื้อที่ประมาณ 1,634,883 ไร่ หรือ 41.711 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด
3. ดินเค็ม
ดินเค็มเป็นดินที่มีเกลืออยู่ในดินสูงจนเป็นอันตรายต่อพืชที่ปลูก ความเค็มของดินจะทำให้พืชขาดน้ำ เหี่ยวเฉาและตายในที่สุด พื้นที่ดินเค็มสังเกตได้จากคราบเกลือที่ปรากฏอยู่ที่ผิวดิน โดยทั่วไปมีชั้นดานแข็งเป็นที่สะสมเกลืออยู่สูงภายในความลึก 50 เซนติเมตรจากผิวดิน
แนวทางการแก้ไข การใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณนี้ ควรเลือกพันธ์พืชที่ทนเค็มมาปลูก ลดอันตรายจากความเค็มของดินโดยการพัฒนาแหล่งน้ำและควบคุมไม่ให้น้ำที่เค็มแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ใช้น้ำล้างเกลือหรือปูพื้นด้วยแกลบแล้วไถกลบ เพื่อลดการนำเกลือจากดินชั้นล่างขึ้นอยู่ที่ผิวดินและมีวัสดุคลุมดิน พร้อมปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกหรือพืชปุ๋ยสดร่วมกับปุ๋ยเคมี ในพื้นที่ที่มีคราบเกลือมากหรือเป็นดินเค็มจัดและไม่มีแหล่งน้ำ ไม่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรม ควรใช้ปลูกไม้ใช้สอยโตเร็วที่ทนเค็ม
กลุ่มชุดดินที่พบ 20, 20x มีเนื้อที่ประมาณ 255,216 ไร่ หรือ 6.511 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด
4. ดินตื้น
ดินตื้นถึงชั้นลูกรัง เศษหิน ก้อนหินปะปนอยู่ในเนื้อดินตั้งแต่ร้อยละ 35 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า โดยปริมาตรภายในความลึก 50 เซนติเมตรจากผิวดิน หรือมีชั้นหินพื้นตื้นกว่า 50 เซนติเมตรจากผิวดิน ดินตื้นจะเป็นอุปสรรต่อการชอนไชของรากพืชลงไปหาอาหาร นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นดินน้อย ทำให้มีความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารและอุ้มน้ำต่ำมาก พืชจะขาดน้ำและทำให้เหี่ยวเฉาไวกว่าพื้นที่อื่น
แนวทางการแก้ไข เลือกพื้นที่ที่มีหน้าดินหนาและไม่มีเศษหินหรือก้อนหินอยู่บริเวณหน้าดินมาก เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการเกษตรกรรมและการดูแลรักษา โดยทำการเกษตรแบบวนเกษตรหรือแบบผสมผสาน ไม่ทำลายไม้พื้นล่าง ขุดหลุมปลูก พร้อมปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักอัตรา 25-50 กก.ต่อหลุมหรือปุ๋ยคอกอัตรา 10-20 กก.ต่อหลุมร่วมกับปุ๋ยเคมีตามชนิดพืชที่ปลูก มีระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ เช่น ใช้วัสดุคลุมดินหรือปลูกหญ้าแฝก เพื่อรักษาความชื้นและลดการกร่อนของดิน พัฒนาแหล่งน้ำไว้ใช้ในระยะที่ฝนทิ้งช่วงนานหรือพืชขาดน้ำ สำหรับในพื้นที่ที่มีหินกระจัดกระจายอยู่บนดินมาก ไม่เหมาะสมต่อการเกษตร ควรปล่อยไว้ให้เป็นป่าตามธรรมชาติ เป็นที่อยู่อาศัยเพาะพันธ์ของสัตว์ป่า เป็นแหล่งต้นลำธาร สำหรับในพื้นที่เสื่อมโทรม ควรฟื้นฟูให้กลับมาเป็นป่าหรือปลูกไม้ใช้สอยโตเร็ว
กลุ่มชุดดินที่พบ 25 มีเนื้อที่ประมาณ 5,579 ไร่ หรือ 0.142 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ทั้งหมด (สำนักสำรวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน, 2550)